เมื่อทำการวัดในแต่ละครั้ง จะมีความไม่แน่นอน หรือความคลาดเคลื่อนในการวัดเสมอ
ยกตัวอย่างเช่น หากวัดความหนาของหนังสือโดยใช้ไม้บรรทัดธรรมดาทั่วไปได้ 3 mm 3.0 mm หรือ 3.00 mm
แล้วจะบันทึกความหนาของหนังสือได้อย่างไร
เนื้อหา :
รูปแบบการรายงานค่าที่ได้จากการวัด
กรณีที่ 1 – การรายงานค่าเมื่อวัดครั้งเดียว
โดยที่
คือ ค่าหลัก
คือ ค่าความคลาดเคลื่อนที่ได้จากการวัด
หากเป็นการวัดซ้ำหลายครั้ง จะรายงานในเทอมดังนี้
กรณีที่ 2 – การรายงานค่าเมื่อมีการวัดซ้ำ
โดยที่
คือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของการวัดซ้ำ (ค่ากลาง)
คือ ส่วนเบี่ยงเบนเฉลี่ย (Mean Deviation) หาได้จาก
มีความหมาย คือ ค่าเฉลี่ยผลรวม ของผลต่างค่าที่วัดซ้ำในแต่ละครั้งกับค่าเฉลี่ยเลขคณิต
ค่า MD ที่ได้ออกมา จะนำมาใช้เป็นตัวแทนในการรายงานค่าความคลาดเคลื่อนของการวัดซ้ำ
หากพูดถึงแค่ “ค่าความคลาดเคลื่อนในการวัด” อย่างเดียว นอกจากจะบอกค่าความคลาดเคลื่อนในการวัดเป็นตัวเลข ยังสามารถบอกเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ : %ได้อีกด้วย ดังนี้
เปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อน
เส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นลวดพลาสติกเส้นหนึ่งมีค่าเท่ากับ 64.42 mm ความหมาย คือ
ลวดเส้นนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 64.42 – 10%ของค่า 64.42 mm และไม่เกิน 64.42 + 10%ของค่า 64.42 mm
คิดแล้วจะได้ค่าเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 64.42 – 6.44 mm และไม่เกิน 64.42 + 6.44 mm
หรือ ค่าเส้นผ่านศูนย์กลางที่เป็นไปได้ ต้องไม่น้อยกว่า 57.98 mm และไม่เกิน 70.86 mm เขียนเป็นสัญลักษณะทางคณิตศาสตร์ได้ว่า [57.98 mm, 70.86 mm]
หมายเหตุ จะเห็นว่าขณะการคิดค่า %ความคลาดเคลื่อน 10%ของ 64.42 mm คือ 6.442 mm เราต้องตัดค่า 0.002 ทิ้ง หรือบอกได้แค่ทศนิยม 2 ตำแหน่งเนื่องจาก ค่าหลัก 64.42 ก็บอกได้แค่ทศนิยม 2 ตำแหน่งเช่นกัน (การระบุจำนวนเลขทศนิยมหลังจากกระบวนการทางพีชคณิต เราจะไปว่ากันในเรื่องเลขนัยสำคัญต่อไป)
การคำนวณความคลาดเคลื่อนของปริมาณ 2 ปริมาณขึ้นไป
การบวก
การลบ
การคูณ
การหาร
สำหรับการหารสามารถเขียนอีกรูปแบบหนึ่งได้ดังนี้ โดยการกระจายเศษส่วน จะได้
ดึง A/B ออกจากเทอมที่เป็นความคลาดเคลื่อน